รู้ตลาด รู้กฏหมาย ขายยังไงก็ขายออก

 

ดร.เมืองภูมิ หาญสิริเพชร หรือ “หานปิง” ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้า การลงทุน กฎหมายไทย-จีน และยังเป็นนักแสดง พิธีกรในสถานีโทรทัศน์เจียงซู และ Influencer ของอาลีบาบา ให้เกียรติมาบรรยายพิเศษในหัวข้อ “รู้ตลาด รู้กฏหมาย ขายยังไงก็ขายออก” แก่ผู้อบรมหลักสูตร China Business Leader หรือ CBL รุ่นที่ 1 ในวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 ณ โรงงาน บริษัท ชบาบางกอก จำกัด สวนอุตสาหกรรมบางกะดี จังหวัดปทุมธานี

 

ในภาพรวม ดร.เมืองภูมิ ชี้ให้เห็นว่า สิ่งสำคัญที่สุดในการจะนำสินค้าไปบุกตลาดจีน คือ การรู้ข้อกฎหมายและข้อกำหนดที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็น ข้อกฎหมายเรื่องการส่งออก-นำเข้าสินค้า ข้อกำหนดเรื่องสารประกอบต้องห้ามที่ห้ามนำเข้า การจดลิขสิทธิ์ และการจดฉลากผลิตภัณฑ์ (ดร.เมืองภูมิเรียกว่า “ซางเปียว”) และการรู้เท่าทันบริษัทตัวแทนที่นำเข้า-ส่งออกสินค้า เป็นต้น

 

 

แน่นอนว่าข้อกฎหมายและข้อกำหนดเรื่องการส่งออก-นำเข้าสินค้า เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกๆ ที่ผู้ประกอบการควรให้ความสนใจ โดยในประเทศจีนสามารถแบ่งการส่งออก-นำเข้าธุรกิจได้ 2 ประเภท คือ 1) การส่งออก-นำเข้าสินค้าแบบปกติ และ 2) การนำเข้าแบบธุรกิจข้ามพรมแดน (CBEC : Cross-border E-commerce) ซึ่งทั้ง 2 ประเภทนี้ มีข้อกฎหมายที่แตกต่างกันอย่างมาก กล่าวคือ

 

ในการส่งออก-นำเข้าธุรกิจแบบปกตินั้น

– ผู้ประกอบการสามารถนำสินค้าไปขายทั้งแบบ Online และ Offline ได้

– ต้องมีบริษัทผู้นำเข้า และเป็นนิติบุคคลในจีน

– สินค้าต้องมี อย. ของจีน ก่อนนำเข้า

– ต้องทำฉลากนำเข้า ติดลงบนผลิตภัณฑ์

– เสียภาษีนำเข้าในอัตราปกติ 

– โควตามูลค่าการซื้อต่อคนต่อปีนั้นไม่จำกัด

 

ในขณะที่การนำเข้าแบบธุรกิจข้ามพรมแดน (CBEC : Cross-border E-commerce)

– ผู้ประกอบการจะนำไปขายแบบ Online ได้เท่านั้น 

– ต้องจดบริษัทในจีน ที่มีขอบเขต CBEC

– สินค้าไม่จำเป็นต้องจด อย. ของจีน

– เสียภาษีในอัตราพิเศษ โดยสินค้าทั่วไปอยู่ที่ 9.1% แต่สินค้าพิเศษอยู่ที่ 17.9-28.9% เฉลี่ยขั้นต่ำ 6%

– จำกัดการซื้อคนละไม่เกิน 5000 RMB ต่อครั้ง รวมแล้วไม่เกิน 26,000 RMB ต่อปี

 

“เรื่องหนึ่งที่น่ากังวลสำหรับเจ้าของธุรกิจที่มีผลิตภัณฑ์อาหาร หรือของอุปโภคที่ใช้กับร่างกายนั้น คือ ข้อบังคับที่ต้องจด อย. ของจีน ที่ต้องใช้ระยะเวลาการดำเนินการไม่เท่ากัน รวมถึงราคาค่าจด อย. ก็แตกต่างกันไป โดยขึ้นอยู่กับส่วนผสมของผลิตภัณฑ์”

 

ดร.เมืองภูมิ กล่าว

 

 

“โฆษณาผลิตภัณฑ์ในจีน เป็นสิ่งที่เคร่งครัดมาก เพราะ AI ชอบบล็อก”

 

นอกจากการเน้นย้ำข้อกฎหมายสำคัญแล้ว ดร.เมืองภูมิ ยังมีความเชี่ยวชาญด้านการทำสื่อโฆษณา จึงแนะนำทริคและข้อบังคับในการโฆษณาสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับอาหาร ซึ่งเป็นธุรกิจที่ผู้อบรม CBL รุ่น 1 หลายท่านมีความสนใจนำผลิตภัณฑ์อาหารไปบุกตลาดจีน กล่าวคือ 

 

ในข้อกำหนดด้านอาหาร มีข้อควรระวัง 4 ข้อหลัก ได้แก่

 

(1) โฆษณาอาหารเพื่อสุขภาพจะต้องหลีกเลี่ยงเนื้อหาสำคัญ คือ 

– การยืนยันหรือรับประกันที่บ่งชี้ถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัย

– การยืนยันที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและรักษาโรค

– การกล่าวอ้างหรือบอกเป็นนัยว่า ผลิตภัณฑ์ที่โฆษณามีความจำเป็นในการปกป้องสุขภาพ

– การเปรียบเทียบกับยาและอาหารเพื่อสุขภาพอื่นๆ

– การใช้โฆษกโฆษณาเพื่อให้คำแนะนำและรับรองผลิตภัณฑ์

– เนื้อหาอื่นๆ ที่ต้องห้ามตามกฎหมาย และข้อบังคับทางการบริหาร

 

ทั้งนี้ โฆษณาอาหารเพื่อสุขภาพควรระบุอย่างชัดเจนว่า “ผลิตภัณฑ์นี้ไม่สามารถทดแทนยาได้”

 

(2) ผลิตภัณฑ์นมสำหรับทารก เครื่องดื่ม และอาหารอื่นๆ ที่อ้างว่า “ทดแทนนมแม่ทั้งหมด” หรือ “ทดแทนนมแม่บางส่วน” ห้ามเผยแพร่โฆษณาในสื่อมวลชนหรือสถานที่สาธารณะ

 

(3) โฆษณาทางการแพทย์ ยา อาหารเพื่อสุขภาพ อุปกรณ์ทางการแพทย์ เครื่องสำอาง เหล้า โฆษณาความงาม รวมถึงโฆษณาเกมออนไลน์ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของผู้เยาว์ จะไม่ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ในสื่อมวลชนที่กำหนดเป้าหมายไปที่ผู้เยาว์

 

(4) โฆษณาการรักษาพยาบาล ยา  อุปกรณ์ทางการแพทย์ ยาฆ่าแมลง ยารักษาสัตว์ และอาหารเพื่อสุชภาพ ตลอดจนโฆษณาอื่นๆ ที่ต้องได้รับการตรวจสอบภายใต้กฎหมายและข้อบังคับทางการบริหาร จะต้องได้รับการตรวจสอบภายใต้กฎหมายและข้อบังคับทางการบริหาร และรับการตรวจสอบโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (ดร.เมืองภูมิ เรียกว่า ‘หน่วยงานตรวจสอบโฆษณา’) ก่อนเผยแพร่ ซึ่งจะเผยแพร่ไม่ได้หากไม่มีการตรวจสอบ

 

 

ไม่เพียงเท่านั้น ดร.เมืองภูมิ ยังได้นำเสนอส่วนหนึ่งการวิจัยโครงการสื่อสร้างสรรค์สานสัมพันธ์ไทย-จีน ที่แสดงให้เห็นว่า การทำคลิปโฆษณาในจีนให้ประสบความสำเร็จนั้น ผู้ประกอบการจำเป็นต้องสร้าง “มุมมองด้านคุณค่า” ลงไปในการโฆษณาด้วย ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ 3 ด้าน คือ

 

  1. คุณค่าด้านความรู้สึก – กระตุ้นอารมณ์ของผู้ชม ได้เนื้อหาที่สร้างอารมณ์ร่วม
  2. คุณค่าด้านความรู้ – เนื้อหาที่กระตุ้นให้สังคมเกิดการพูดคุย ความรู้ที่เป็นระบบ
  3. คุณค่าด้านอัตลักษณ์ – มีความแปลกใหม่ สร้างความประทับใจให้ผู้ชม

 

โดยแนวทางการสื่อสารและสร้างสื่อ  ควรถูกวางแผนไว้อย่างดีว่าต้องการให้สื่อทำงานอย่างไร  เพื่อสร้างกระแส อิงกระแส เพื่อความตื่นเต้นเร้าใจ เพื่อดึงอารมณ์ร่วม สื่อสารเชิงเปรียบเทียบ สื่อสารเพื่อชวนให้นึกถึง เพื่อการโน้มน้าว สื่อสารความพลิกผัน นำเสนอสิ่งที่เหนือความคาดหมาย หรือแหวกแนว เป็นต้น

 

นอกจากนั้น หัวข้อยอดนิยมในการสร้างโฆษณาที่ ดร.เมืองภูมิ แนะนำคือ มุมมองด้านบวก, เคล็ดลับ, ความสัมพันธ์ในครอบครัว, เรื่องที่เกี่ยวพันถึงความเป็นความตาย, ศีลธรรมในครอบครัว, การแก้ปัญหาการใช้งาน, ภัยพิบัติอุบัติเหตุ และอิทธิพลของคนดัง-คนรูปร่างหน้าตาดี

 

สิ่งที่ต้องขีดเส้นใต้จากการบรรยายของ ดร.เมืองภูมิในครั้งนี้ คนหนีไม่พ้นข้อแนะนำที่ว่า

 

“สุดท้าย แม้กฎหมายจะเป็นสิ่งที่จำกัดกรอบธุรกิจของเรา แต่เพียงแค่เรายึดมั่นใน 3 คำถามหลัก หรือ ‘หลักการ 3 ฉัน’ 

 

  1. ฉันเป็นใคร? : แสดงตัวตนที่แตกต่างจากคนอื่นให้ชัดเจน
  2. ฉันต้องการดึงดูดใคร? : – ลูกค้าคือตลาดกลุ่มไหน ปรับภาพลักษณ์และลงรายละเอียดให้ชัดเจน
  3. ฉันต้องการทำอะไร? : กำหนดเนื้อหา และสร้างความต่อเนื่องปะติดปะต่อกัน

 

เมื่อสารเหล่านี้ถูกสื่อออกไปในโฆษณา.. เราก็ประสบความสำเร็จได้”

 

สำคัญกว่าข้อกฎหมาย นี่อาจเป็นสัจจะของการทำธุรกิจที่เรียบง่าย และลืมไม่ได้มากที่สุด