คุณภูสิต รัตนกุลเสรีเริงฤทธิ์ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และอดีตอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ให้เกียรติมาบรรยายในหัวข้อ “ภาพรวมตลาดจีนกับตลาดโลก” แก่ผู้อบรมหลักสูตร China Business Leader หรือ CBL รุ่น 2 ในวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2567 ณ สถาบันสร้างอนาคตไทย (FFIT)
ภาพรวมตลาดจีน
จีนถือเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก มี GDP เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 จีนมีมูลค่า GDP ประมาณ 17.79 ล้านล้าน USD คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 16.9% ของเศรษฐกิจโลก ซึ่งนับตั้งแต่การเปิดประเทศในปี 2521 นั้น จีนก็มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยที่สูงถึง 9% ต่อปี ซึ่งแสดงถึงการพัฒนาอย่างรวดเร็วในหลายภาคส่วน เช่น อุตสาหกรรม การผลิต และบริการ
บนเวทีการค้าโลก จีนเป็นประเทศผู้ส่งออกอันดับ 1 และยังเป็นผู้ค้านำเข้าอันดับ 2 ของโลก ซึ่งในปี 2566 จีนมีการลงทุนในต่างประเทศสูงถึง 147.9 พันล้าน USD ซึ่งช่วยขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการค้าไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก
ในด้านความสัมพันธ์ทางการค้าไทย-จีนนั้น ไทย-จีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของกันติดต่อมากว่า 10 ปี และมีมูลค่าการค้าระหว่างกันสูงสุดตลอดระยะเวลาดังกล่าว ในปี 2567 จีนมีสัดส่วนการค้าคิดเป็นประมาณ 19% ของมูลค่าการค้าทั้งหมดของไทย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของจีนในฐานะตลาดหลักสำหรับสินค้าจากไทย การค้าระหว่างไทยและจีนครอบคลุมหลากหลายประเภทสินค้า เช่น อาหาร เครื่องจักร และผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ซึ่งช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ
สถานการณ์แนวโน้มตลาดจีน
ตลาดจีนมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงไปใน 3 ทิศทาง ซึ่งเกิดจากปัจจัยหลัก 3 ประการ ได้แก่
- กลุ่มชนชั้นกลาง : มีการคาดการณ์ว่า ปัจจุบันจีนมีชนชั้นกลางสูงถึง 400 ล้านคน หรือราวๆ 140 ล้านครอบครัว (คิดเป็น 30% ของประชากรทั้งหมด 1.4 พันล้านคน) เมื่อชนชั้นกลางมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น นั่นหมายความว่า จำนวนผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อได้เพิ่มขึ้นตาม ซึ่งจะช่วยให้จีนสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องพึ่งพิงผู้ซื้อจากนอกประเทศ
- การเติบโตของ E-Commerce : ในปี 2566 มูลค่าการค้าปลีกออนไลน์ของจีนสูงถึง 15.42 ล้านหยวน โดยเพิ่มขึ้น 11% มูลค่าการนำเข้า-ส่งออกผ่านอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน (CBEC) ของปี 2566 อยู่ที่ 2.38 ล้านหยวนและมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้จีนกลายเป็นตลาดการค้าปลีกออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดของโลกติดต่อกันมา 11 ปี
- การเข้าสู่สังคมสูงวัย : ในปี 2566 จีนมีผู้สูงอายุกว่า 297 ล้านคน หรือ 21.1% ของประชากรทั้งหมด และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 500 ล้านคน หรือ 38% ในปี 2593 ซึ่งกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ (Silver Economy) จะมีมูลค่าสูงถึง 7 ล้านล้านหยวน หรือ 6% ของ GDP
ปัจจัยที่กำหนดแนวโน้มตลาดจีนมีหลายด้านที่สำคัญ ทั้งแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมระยะ 5 ปี ฉบับที่ 14 (2564-2568) ที่เน้นการเปิดประตูการค้า การกระตุ้นการบริโภคภายใน และการพัฒนาเทคโนโลยี นอกจากนี้ จีนยังมีนโยบายระยะยาวที่ชัดเจนในการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมและส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน การลงทุนในเทคโนโลยี เช่น AI และ IoT ช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมใหม่ๆ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงประชากรที่มีผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลต่อความต้องการสินค้าและบริการเฉพาะกลุ่ม
ทั้งนี้ สถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังเป็นปัจจัยสำคัญที่จีนต้องเผชิญ โดยเฉพาะผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนและการค้าโลกที่ส่งผลต่อการส่งออกและนำเข้า การปรับตัวในด้านเหล่านี้จะช่วยให้จีนสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสร้างโอกาสใหม่ๆ ในตลาดได้อย่างยั่งยืน
เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคจีนผ่าน China City Tier System
China City Tier System หรือระบบชั้นของจีนซิตี้ เป็นระบบที่ใช้ในการจัดลำดับเมืองในประเทศจีนตามระดับการพัฒนาในด้านเศรษฐกิจ โครงสร้างพื้นฐาน และคุณภาพชีวิตของประชากร โดยแบ่งเมืองออกเป็นหลายชั้นเพื่อสะท้อนถึงศักยภาพและโอกาสที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ ดังต่อไปนี้
- เมืองชั้น 1 คือ เมืองที่มีความสำคัญสูงสุด เช่น เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง กวางโจว และเซินเจิ้น ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางด้านเศรษฐกิจ การเงิน การค้า และนวัตกรรม เมืองเหล่านี้มีประชากรหนาแน่นและเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง
- เมืองชั้น 2 คือ เมืองที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจที่ดีและมีบทบาทสำคัญในภูมิภาค เช่น ฉงชิ่ง หนานจิง และซูโจว โดยมักเป็นที่ตั้งของการลงทุนจากต่างประเทศและมีการเติบโตของอุตสาหกรรม
- เมืองชั้น 3 คือ เมืองที่แม้จะมีการพัฒนาน้อยกว่าเมืองชั้น 1 และ 2 แต่ยังคงมีศักยภาพในการเติบโต เช่น เจิ้งโจว และอู่ฮั่น ซึ่งเมืองเหล่านี้มุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมท้องถิ่นและภาคการเกษตร
ระบบชั้นของจีนซิตี้มีบทบาทสำคัญต่อการวางแผนการลงทุน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการกำหนดนโยบายของรัฐบาล ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนมองเห็นโอกาสและความท้าทายในแต่ละเมืองได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ เมืองชั้น 2 และ 3 ก็กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในด้านนวัตกรรมและเศรษฐกิจ ทำให้มีแนวโน้มว่าอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงในลำดับชั้นของเมืองในอนาคตได้
ทั้งนี้ หากเจาะลึกถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ ก็จะพบถึงความแตกต่าง ดังนี้
- ภาคตะวันออก เป็นพื้นที่ๆ มีเมืองใหญ่อย่างเซี่ยงไฮ้และปักกิ่ง ผู้บริโภคมีรายได้สูงและให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่าราคา โดยนิยมเลือกแบรนด์ที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ นอกจากนี้ การซื้อสินค้าออนไลน์ยังได้รับความนิยมสูง เน้นความสะดวกสบายและนวัตกรรม
- ภาคใต้ รวมถึงกวางตุ้งและฟูเจี้ยน เป็นพื้นที่ๆ เศรษฐกิจเติบโต ผู้บริโภคมักเลือกซื้อสินค้าแบบมีเหตุผล มองหาข้อเสนอที่คุ้มค่า ทั้งยังได้รับอิทธิพลจากค่านิยมดั้งเดิม โดยเฉพาะในการเลือกสินค้าอาหารและเสื้อผ้า โซเชียลมีเดียยังมีบทบาทสำคัญในการแนะนำสินค้าและโปรโมชั่น
- ภาคตะวันตก เป็นพื้นที่ๆ มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจน้อยกว่า เช่น เสฉวนและซินเจียง ผู้บริโภคมักให้ความสำคัญกับราคา โดยมองหาส่วนลดและสินค้าจากแบรนด์ท้องถิ่น ในขณะที่ชนชั้นกลางที่กำลังเติบโตเริ่มสนใจผลิตภัณฑ์แบรนด์เนมมากขึ้น
- ภาคเหนือ รวมถึงเทียนจินและชิงต่าว ผู้บริโภคยังคงได้รับอิทธิพลจากค่านิยมดั้งเดิม ใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง โดยเน้นสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความจำเป็น และให้ความสำคัญกับประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมของผลิตภัณฑ์
การเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถปรับกลยุทธ์การตลาดและการจัดจำหน่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งผู้ประกอบการควรพิจารณาปัจจัยเฉพาะของแต่ละภูมิภาคเพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในตลาดจีนที่หลากหลายและซับซ้อน
สำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคในตลาด E-Commerce จีน
ตลาด E-Commerce ในจีนกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีผู้บริโภคถึงร้อยละ 80 ที่ซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ผู้บริโภคชื่นชอบความสะดวกสบายจากการช็อปปิ้งออนไลน์ เช่น การเลือกซื้อสินค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง และการเปรียบเทียบราคาจากหลายแหล่งเพื่อหาข้อเสนอที่ดีที่สุด นอกจากนี้ โปรโมชั่นและส่วนลดยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดผู้บริโภค โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญอย่างวันคนโสด (11.11)
การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟน รวมถึงความเชื่อมั่นในแพลตฟอร์ม E-Commerce เช่น Taobao, JD ดอทคอม และ Pinduoduo ล้วนมีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้า รีวิวและคำแนะนำจากผู้ใช้คนอื่นยังช่วยสร้างความมั่นใจในคุณภาพของสินค้า
ผู้ประกอบการควรปรับกลยุทธ์การตลาดให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภค เช่น การสร้างประสบการณ์การช็อปปิ้งที่สะดวกและน่าดึงดูด รวมถึงการใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีในการวิเคราะห์พฤติกรรมเพื่อเพิ่มยอดขายและสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าในตลาดนี้
กลยุทธ์การเจาะตลาดจีน: เส้นทางสู่เป้าหมายการส่งออกปี 2567
ในปี 2567 ประเทศไทยตั้งเป้าหมายมูลค่าการส่งออกไปยังประเทศจีนที่ 1,276,632 ล้านบาท หรือประมาณ 35,462 ล้าน USD (+1%) จากปีก่อนหน้า โดยมีแผนกลยุทธ์ที่ครอบคลุมทั้งด้านความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน การพัฒนาช่องทางการค้า และการใช้ประโยชน์จากศักยภาพของตลาดจีนผ่านหลากหลายมิติ กล่าวคือ
1.เชื่อมสัมพันธ์ รัฐ-เอกชน
ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในฐานะ “ประตูทางเศรษฐกิจ” ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่ฮ่องกงทำหน้าที่เป็นประตูสู่จีน โดยเฉพาะเขตเศรษฐกิจ Greater Bay Area (GBA) การสร้าง Mini FTA กับเมืองรองที่มีศักยภาพในจีนจะช่วยเพิ่มโอกาสทางการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศได้
- ผลักดันสินค้า ออฟไลน์-ออนไลน์
การส่งเสริมสินค้าไทยจะดำเนินการผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เช่น Instore Promotion ใน 13 เมือง และโครงการ ThaiFruit Golden Months ใน 8 เมือง นอกจากนี้ยังมีการร่วมมือกับแพลตฟอร์มออนไลน์ชั้นนำของจีนเพื่อขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น
- เข้าร่วมงานแฟร์สำคัญ
ประเทศไทยจะเข้าร่วมงานแฟร์ระดับนานาชาติในจีน เช่น China International Import Expo (CIIE) และงาน CAEXPO รวมถึงการจัดงานแสดงสินค้าไทยในจีนภายใต้แบรนด์ Top Thai Brands เพื่อสร้างภาพลักษณ์และเพิ่มการรับรู้ในตลาด
- Soft Power เพื่อสร้างความแตกต่าง
ประเทศไทยจะใช้ Soft Power ในการโปรโมต 4 กลุ่มสินค้า ได้แก่ ดิจิทัลคอนเทนต์ สินค้าสุขภาพและความงาม สินค้าอัตลักษณ์ไทย และอาหารไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมร้านอาหารไทยที่ได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพ
- พัฒนาเส้นทางการขนส่ง
อีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญคือการสำรวจเส้นทางการขนส่งทางบกผ่านชายแดนลาวและเวียดนามไปยังจีน พร้อมทั้งหารือกับผู้บริหารระดับสูงของจังหวัดและด่านศุลกากรในพื้นที่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการอำนวยความสะดวกด้านโลจิสติกส์
- ผลักดันความร่วมมือทางการค้า**
ประเทศไทยยังมุ่งเน้นการลงนาม MOU กับมณฑลสำคัญของจีน เช่น เจ้อเจียง จี๋หลิน กว่างซีจ้วง ฝูเจี้ยน (เมืองเซี่ยเหมิน) ฉงชิ่ง รวมถึงมณฑลอื่น ๆ อย่างกุ้ยโจว ซานซี เฮยหลงเจียง เหอเป่ย และซานตง เพื่อเสริมสร้างความร่วมมืออย่างยั่งยืน
ด้วยแผนกลยุทธ์เหล่านี้ ประเทศไทยมั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายการส่งออกไปยังจีนในปี 2567 พร้อมทั้งสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทยในเวทีโลกต่อไป